Exclusive Talk with PHTAA
Relation Between Graphic and Interior Design
แวดวงสถาปัตยกรรมในทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง งานออกแบบตกแต่งภายในกับงานออกแบบ branding และ graphic decoration ส่งเสริมกันอย่างไร และการออกแบบกราฟิกมีส่วนร่วมต่อสองแวดวงนี้มากน้อยแค่ไหนในปัจจุบัน คือสิ่งที่เราจะไปค้นหาคำตอบกันในบทความนี้
เป็นอีกครั้งที่เราได้รับความช่วยเหลือจาก friends of DINSOR และเพื่อนคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็น PHTAA Living Design สตูดิโอออกแบบสถาปัตยกรรมและตกแต่งภายในที่โดดเด่นในเรื่องของความหลากหลาย และร่วมงานกับเรามาแล้วหลายต่อหลายโปรคเจค ที่จะมาช่วยให้ข้อมูลต่อเรื่องดังกล่าวกับเราในครั้งนี้

การนัดหมายเกิดขึ้นในบ่ายแก่ๆ ของวันศุกร์สุดสัปดาห์ ณ กลางซอยประดิพัทธ์ 17 อันเป็นที่ตั้งของสตูดิโอดีไซน์แห่งนี้ ที่ก่อตั้งโดยคุณพลอย หฤษฎี ลีละยุวพันธ์ คุณโต๋ ธนวรรธน์ ปัจฉิมะศิริ และคุณวิท พลวิทย์ รัตนธเนศวิไล 3 นักออกแบบที่ตัดสินใจลงขันจับมือกันสร้างทางเดินในแบบที่ตนเองเชื่อมั่น
‘จุดเริ่มต้นจริงๆ ก็เหมือนดีไซเนอร์ทั่วไปที่รับงานนอกมาก่อน จนงานเริ่มเยอะ เลยหันมาเปิดสตูดิโอของตัวเองเพื่อที่จะได้ทำงานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพมากขึ้น’ คุณพลอยบอกกับเราถึงที่มาของการตั้งสตูดิโอดีไซน์แห่งนี้ ในขณะที่คุณวิทเสริมถึงเรื่องราวในมุมของเขาเองว่า ‘ส่วนผมทักแชทไปหาพลอยเองเลยทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน เพราะเราชอบในสไตล์งานของพลอย และเชื่อว่าเราไม่จำเป็นต้องทำงานหรือทำออฟฟิศกับเฉพาะคนที่เราสนิทด้วยเท่านั้น เราโฟกัสที่ความสามารถของผู้ที่เราจะร่วมงานด้วยมากกว่า ว่าไปด้วยกันได้แค่ไหนและการทำงานของทั้งเขาและเราช่วยส่งเสริมกันได้ยังไงบ้างมากกว่า’
อะไรทำให้งานของ PHTAA แตกต่างจากสตูดิโอดีไซน์แห่งอื่นๆ
ในการนี้คุณวิทได้อธิบายเพิ่มเติมกับเราว่า ‘พอเริ่มทำงานมาสักระยะ เราจะเห็นว่าคาแรคเตอร์และความถนัดเฉพาะตัวของคนในทีมมีความสำคัญมาก ทำให้ PHTAA เลือกที่จะไม่สร้างสไตล์การทำงานแบบตายตัว เราอยากให้ทุกคนที่สตูดิโอแห่งนี้ได้นำเสนอในสิ่งที่เขาถนัด ในสไตล์ที่เขาเชื่อมั่น เพราะถึงแม้ในท้ายที่สุดความคิดนั้นจะถูกนำมาใช้หรือไม่ มันก็ยังส่งต่อและจุดประกายแนวคิดที่น่าสนใจให้คนอื่นสามารถนำไปพิจารณาและต่อยอดต่อไปได้ ทำให้งานที่ออกมากมีความ variety มากๆ’
“เพราะการไม่มีลายเซ็นคือความต่างของ PHTAA”
‘จริงๆ เคยมีคนถามเรานะว่าความหลากหลายที่มากขนาดนี้จะทำให้ลายเซ็นขององค์กรหายไปหรือเปล่า แต่เรามองกลับกันว่ามันก็ให้เกิด variety ในสไตล์ของงานซึ่งเราเลือกที่จะมองข้อดีในด้านนี้มากกว่า’ คุณพลอยกล่าวเสริมกับเราในเรื่องนี้อย่างตั้งใจราวกับเป็นสิ่งที่เธอต้องการจะบอกกับเราตั้งแต่ต้น ‘มันคือสิ่งที่ทำให้เกิด creativity ใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ ที่เราอาจไม่มีวันนึกถึงมาก่อนเลยก็ได้ หากเราบังคับให้ทุกคนทำงานตามกรอบที่ออฟฟิศตั้งขึ้นตลอดเวลา
“เราเคยคิดที่จะหากราฟิกดีไซเนอร์ประจำออฟฟิศนะ แต่ก็ล้มเลิกความคิดไป เพราะเรารู้เราไม่สามารถสอนงานเขา หรือทำให้เขาพัฒนาได้เท่า ให้เขาได้อยู่กับผู้ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้นๆ จริงๆ”
คุณโต๋เสริมกับเราว่า ‘ก่อนหน้านี้ทางสตูดิโอได้มีความคิดที่จะรับพนักงานที่เป็นกราฟิกดีไซเนอร์เข้ามาประจำออฟฟิศอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งทั้งสามคนตกผลึกทางความคิดแล้วว่า เราไม่สามารถช่วยให้เขาโตขึ้นได้มากเท่าที่ควรจะเป็น เพราะเราเองไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในทางนั้นขนาดนั้น เราเลยเลือกที่จะใช้บริการกราฟิกสตูดิโอที่เป็น outsource แทน เพราะพวกเราในฐานะคนดีไซน์ ก็อยากที่จะเคารพและสนับสนุนในวิชาชีพและความถนัดที่หลากหลายเหมือนกัน ไม่เพียงแค่เฉพาะในแวดวงสถาปัตยกรรมและการออกแบบตกแต่งภายในเพียงอย่างเดียว’

อะไรคือเคล็ดลับในการเข้าถึงความต้องการของลูกค้าของ PHTAA
คุณพลอยบอกกับเราว่าจริงๆ แล้วคำตอบของเรื่องนี้คือการสื่อสาร ทีมดีไซน์จำเป็นที่จะต้องพูดคุยกับลูกค้าให้ถี่ถ้วนที่สุด เพราะอย่างที่ทราบกันว่าการสร้างบ้านหรืออาคารสักครั้ง รายละเอียดของงานไม่ได้มีแค่เรื่องของความสวยงามในการออกแบบ รูปลักษณ์และคุณภาพของวัสดุก็มีความสำคัญ ระยะเวลาในการทำงาน รวมไปถึงเรื่องของ ‘งบประมาณ’ ที่จะเข้ามามีบทบาทอยู่เนืองๆ
“มันคือการเข้าใจถึง core idea ระหว่างคน 2 เจเนอเรชั่น”
‘สิ่งที่ทาง PHTAA ทำคือสื่อสารให้ตรงจุดต่อทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นก่อน เพราะเราต้องยอมรับความจริงว่าคนรุ่นพ่อแม่ที่มักจะเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินนั้น อาจไม่ได้เข้าใจถึงสไตล์การออกแบบขนาดนั้น เค้าอาจไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่เพราะในยุคของพวกเขาสิ่งเหล่านี้ยังไม่ได้ถูกบอกเล่าหรือมีความหลากหลายเท่าตอนนี้ ทำให้การเข้าใจใน core idea ของทั้งสองฝ่ายและการสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพื่อให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่จะออกมานั้นคุ้มค่าต่อการลงทุนครั้งใหญ่ของพวกเขา’ คุณวิทกล่าวกับเราถึงประสบการณ์ตรงที่เคยเกิดขึ้น

จากมุมมองของมัณฑนากรงาน identity และ graphic signage นั้นมีความสำคัญแค่ไหน
‘สำคัญมากสำหรับมุมมองนักออกแบบตกแต่งภายใน เพราะหาก identity และ concept ที่ชัดเจน graphic signage เกิดขึ้นเร็ว มันจะทำให้ interior designer ทำงานง่ายขึ้นมาก และทำให้งานที่ออกมากลมกล่อมและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มันจะไม่ใช่งานที่เกิดขึ้นเพื่อตั้งอยู่เฉยๆ แต่มันจะเป็นปราการด่านแรกที่ช่วยส่งเสริมและบอกเล่าอัตลักษณ์ของโปรเจคนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี’ คุณวิทกล่าว
“signage ไม่ได้จำเป็นต้องออกมาในรูปแบบของป้ายเพียงอย่างเดียว มันผลิกแผลงได้ และเพราะเหตุนี้มันจึงเป็นตัวกลางที่บ่งบอกความคิดสร้างสรรค์ของผู้ที่ทำมัน”
คุณโต๋เสริมกับเราเพิ่มเติมว่า ‘โดยมากที่พบมาคือ signage system มักเป็นสิ่งสุดท้ายที่เกิดขึ้นในภาพรวมของโปรเจค ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นเหมือนเครื่องบอกทางของทั้งโครงการด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย เพราะหากระบบป้ายบอกทางเกิดขึ้นตั้งแต่ process แรกๆ มันจะช่วยให้การทำสถาปัตยกรรมและการออกแบบตกแต่งภายในมีความ solid มากขึ้นมากๆ’
ทำไมคนดีไซน์โดยเฉพาะกราฟิกดีไซเนอร์มัณฑนากรและสถาปนิกถึงซีเรียสกับ signage system และ wayfinding กันมากทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
‘มันสำคัญมากเลยนะครับ จากประสบการณ์ของผมตอนที่ทำงานที่บริษัทเก่าเนี่ย พอมีโปรเจคที่มีเรื่องของ signage system เข้ามาเกี่ยวข้อง ถึงแม้เราจะพอมีความรู้อยู่บ้างแต่ก็เพียงพื้นฐาน ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมามันยังดูขาดๆ เกินๆ จนมาเข้าใจทีหลังว่ามันเป็นศาสตร์อีกศาสตร์หนึ่งเลยนะที่ต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เพราะทั้ง sizing, proportion และ graphic elements ต่างๆ มันมีความซับซ้อนกว่าที่เห็น UX/UI ก็มีความสำคัญ และผลลัพธ์ของมันก็มีผลต่อภาพรวมอย่างมาก ในความเห็นของผมมันสามารถที่จะทำลายมู๊ดของโครงการได้เลยนะ เพียงเพราะระบบป้ายเนี่ยแหละ และผมเชื่อว่าคนที่ทำงานกันมานาน ทำโปรเจคลักษณะนี้มาเยอะจะเข้าใจในข้อเท็จจริงตรงนี้ดี มันเลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงจริงจังและลงลึกกับ signage system และ wayfinding กันมากๆ’ คุณวิทพยายามอธิบายอย่างจริงจังในหัวข้อนี้
“เพราะระบบป้ายเป็นเหมือนหน้าตาของโปรเจค มันถ่ายทอดอะไรได้มากกว่าแค่หน้าที่ของการบอกทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของอัตลักษณ์และตัวตนของแบรนด์”
คุณพลอยเสริมเพิ่มเติมกับเราอีกว่า ‘signage system ยังเป็นเหมือนสิ่งที่บอกถึงตัวตนของโปรเจคหรือโครงการนั้นๆ ได้เหมือนกัน มันส่งผ่านการเลือกใช้ฟอนต์ ชุดสี การวางองค์ประกอบ หรือแม้แต่การเว้นพื้นที่ว่างและอื่นๆ มันเหมือนเป็นดีเทลเล็กๆ นะ แต่ความเป็นรายละเอียดเล็กๆ เนี่ยแหละที่เป็นตัวสร้างคาแรคเตอร์ให้กับแบรนด์และบอกถึงความใส่ใจของผู้สร้างโปรเจคได้เป็นอย่างดี ทั้งยังสามารถช่วยยกระดับมูลค่าของงานได้อีกด้วย ดังนั้นแล้วการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรจะลงทุนกับมัน’

ทำงานกับ DINSOR เป็นอย่างไร
คุณโต๋: ประทับใจนะครับ คือเรารู้สึกว่า DINSOR มีความมืออาชีพมากในด้านการออกแบบกราฟิก ทั้งทางวิธีการคิด การทำงาน ไปจนถึงการจบงานเลย ซึ่งเรามองว่าที่ PHTAA และ DINSOR ทำงานกันเข้าขาได้แบบนี้เพราะเรามีอะไรบางอย่างที่เหมือนกันนั่นคือ การไม่มีลายเซ็นที่ชัดเจนมากเกินไป คือเหมือนเราสังเกตได้ว่าจากผลงานที่ผ่านๆ มาของ DINSOR เนี่ยไม่มีลักษณะหรือกรอบบังคับด้านการออกแบบที่ตายตัวเลย มันเลยเกิดความหลากหลายอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองว่าเป็นจุดแข็งสำคัญของ DINSOR จริงๆ
คุณพลอย: เรามองว่าเวลา DINSOR ทำงาน branding อะไรสักอย่าง เขาสามารถดึงอัตลักษณ์ของแบรนด์นั้นๆ ออกมาดีไซน์ใหม่ให้ดูแตกต่างได้เสมอ พร้อมๆ ไปกับขับให้ DNA ของแบรนด์ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเมื่อเราทำงานร่วมกันมันเลยเหมือนเป็นการช่วยกันดึงศักยภาพของฝั่งเราและเขาออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเราว่ามันดีมากๆ ที่เราได้ร่วมงานกัน
อะไรทำให้ PHTAA เลือกที่จะทำงานกับ DINSOR มาตลอด
คุณพลอย: เราคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการมีเพื่อนคู่คิดมากขึ้น หมายถึงในมุมของการเป็นดีไซเนอร์เหมือนกันเพียงแต่มีความถนัดในศาสตร์ที่ต่างกัน ซึ่งในฐานะคนออกแบบเราต้องการที่จะเปิดรับกับไอเดียใหม่ๆ ตลอดเวลาอยู่แล้ว และมุมมองด้านกราฟิกของ DINSOR ก็ช่วยจุดประกายอะไรใหม่ๆ ให้เราได้อยู่เสมอ
คุณวิท: เราชอบที่ในทุกครั้งเวลา DINSOR จะออกแบบอะไรสักอย่าง เขาจะมองไปไกลกว่าแค่เรื่องของความสวยงาม ความ creativity เพียงอย่างเดียว คือเหมือนว่ามันเป็นความสวยที่มาพร้อมกับ branding ที่คิดมาจบแล้ว มันคือเรื่องของวิธีการคิดการมองงานที่เราชื่นชอบในตัวของ DINSOR ที่ทำให้สตูดิโอแห่งนี้แตกต่างจากที่อื่น
มีอะไรที่ challenge บ้างไหมเมื่อทำงานกับ DINSOR
คุณโต๋: หากจะมีความท้าทายอะไรในการร่วมงานกับ DINSOR ผมว่าน่าจะเป็นฝ่าย PHTAA มากกว่า เพราะบางครั้งที่เราทำงานแบบถลำลึกลงไปแล้วเนี่ย ใจเรา ความคิดเรามักจะจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากเกินไป จนบางครั้งมันกลายเป็นการทำงานที่ออกนอกกรอบ objective ที่วางเอาไว้ ซึ่งทาง DINSOR จะเป็นฝ่ายที่คอยช่วยดึงเรากลับมาเสมอ ช่วยปรับให้งานและภาพรวมของโปรเจคกลับเข้าสู่ความเป็นจริงมากขึ้น อาจด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในด้าน branding และ marketing communication ของพวกเขาด้วยแหละ ทำให้พวกเขามองงานด้วยมุมมองที่กว้างและรอบด้านกว่าเรา และแน่นอนว่าด้วยความถนัดในด้านนี้มันมีส่วนช่วยอย่างมากในการทำให้โปรเจคสักโปรเจคหนึ่งประสบความสำเร็จและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้แบบตรงจุด

อยากฝากอะไรทิ้งท้ายให้กับผู้อ่านไหม
‘ตอนนี้ทาง PHTAA กำลังมีทำโปรเจค VYBE Education ที่เป็นสถาบันสอนภาษาร่วมกับ DINSOR อยู่ ซึ่งในโปรเจคนี้ทาง DINSOR รับหน้าที่ในการดูแลด้าน branding ส่วนทางเรา PHTAA เองก็ดูแลในเรื่องของการออกแบบตกแต่งภายในเหมือนอย่างที่เราเคยทำร่วมกันมาเสมอๆ นอกจากนี้ยังมีโปรเจคในเครือของ Central ที่เราทำงานร่วมกันอยู่ตลอดจนถึงตอนนี้ ก็อยากขอฝากให้ผู้อ่านได้คอยติดตามและรับชมกัน’ ทั้งสามผู้ก่อตั้งทิ้งท้ายกับเราเพื่อเป็นการปิดท้ายบทสัมภาษณ์ในครั้งนี้
ติดตามผลงานการออกแบบ Signage System ของ DINSOR เพิ่มเติมได้ที่นี่