สร้างแบรนด์ยังไงให้ประสบความสำเร็จ

เปิดเคล็ดลับความสำเร็จ (P.MITH & Mediwelle)

‘แบรนด์ที่ดีแบรนด์ที่ดัง เขามีเคล็ดลับความสำเร็จอะไรบ้าง?’ หนึ่งคำถามล้านคำตอบที่เหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายนัก อะไรคือคำตอบที่แท้จริงในเรื่องนี้นอกเหนือไป ทฤษฎีต่างๆ ของผู้รู้หรือฟังจากปากของผู้มีประสบการณ์จริง ทางเลือกไหนที่จะช่วยให้เราได้คำตอบที่ดีที่สุด?

จากความสงสัยดังกล่าว ทำให้เราตัดสินใจที่จะนัดแนะกับหนึ่งใน ‘เพื่อน’ ที่เหมาะสมต่อคำถามนี้มากที่สุดอย่างคุณออโต้ อนพัทย์ ธนากิจปฐมพงศ์ และคุณแบงค์ ภาคภูมิ มิตรานนท์ สองผู้ก่อตั้งแห่งแบรนด์เสื้อผ้าสุภาพบุรุษอย่าง P.MITH และคลินิกความงามทางเลือกใหม่อย่าง Mediwelle เพื่อค้นหาถึงคำตอบดังกล่าว ถามไถ่ความรู้สึกของทั้งคู่เมื่อครั้งร่วมงานกับ DINSOR และเป็นการบุกไปเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าไปในตัว 11 โมงเช้าของวันศุกร์ที่เร่งรีบ การนัดหมายของเราเกิดขึ้น ณ อาคารสามย่าน มิตรทาวน์ ชั้น 2 ในคลินิก Mediwelle สถานที่ที่แขกรับเชิญทั้งสองของเราเลือกใช้เป็นพื้นที่ในการสัมภาษณ์ในครั้งนี้

“ผมว่าจุดเริ่มต้นของทั้งหมดมันมาจาก Passion ที่เราทั้งคู่มีต่อสิ่งที่ทำ”

ประโยคแรกที่คุณออโต้ อนพัทย์ ธนากิจปฐมพงศ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งของทั้งแบรนด์ P.MITH และ Mediwelle ผู้รับหน้าที่ในการดูแลด้านบริหารและการตลาดของธุรกิจที่เขาสร้างขึ้นมากับมือบอกกับเราเมื่อจั่วหัวถึงเรื่องของเคล็ดลับความสำเร็จ ‘สำหรับผม ผมคิดว่ามันเริ่มต้นมาจากความชอบในศิลปะ ในเรื่องของความงาม ส่วน P.MITH เองก็เกิดขึ้นจากความรักในเสื้อผ้าของทั้งผมและแบงค์ เรามีความคิดที่คล้ายกัน มีเทสต์และสไตล์ที่ใกล้กัน เลยลองมาทำแบรนด์ร่วมกันดู ซึ่งก็เติบโตมาเรื่อยๆ ตอนนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 7 แล้ว’ คุณแบงค์ ภาคภูมิ มิตรานนท์กล่าวเสริมถึงจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจของเขา ‘คือตัวผมเองเนี่ยจบแพทย์มา แต่เป็นแพทย์ด้านความงามนะ เพราะจริงๆ แล้วเรารู้ว่าเราชอบเรื่องของความสวยความงามมาตั้งแต่เด็ก พอเลือกจะเรียนหมอก็ขอเป็นหมอด้าน aesthetic แล้วกันเพราะเป็นแขนงที่ตอบโจทย์ต่อความชอบของเราได้มากที่สุด’

เราสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ได้ด้วยวิธีไหน

เมื่อเป็นเรื่องของธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงแฟชั่นและความงาม จริงอยู่ที่ passion อาจเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ แต่มันเพียงพอแล้วหรือไม่ต่อการอยู่รอดในสนามแข่งที่ได้ชื่อว่าดุดันที่สุดนี้? ‘ผมว่าการสร้างความแตกต่างคือ key factor ของทั้งสองธุรกิจของเรานะ คืออย่าง P.MITH เราเลือกหันมาใส่ใจเรื่องของดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่แฝงด้วยดีเทลมากกว่า เพราะสุดท้ายแล้วเรามองว่ามันจะก่อให้เกิด timeless piece ที่ไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ในกรอบใดกรอบหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องความหวือหวาที่เป็นแก่นหลักของแฟชั่นไปนะ แต่เราลดทอนมันให้อยู่ในรูปแบบของเสื้อผ้าที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันมากขึ้นเท่านั้นเอง

“มีเคสที่ลูกค้าบางท่านตัดเสื้อผ้าตัดสูทกับเราไปเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว ตอนนี้เขาก็ยังหยิบเสื้อผ้าพวกนั้นกลับมาใส่อยู่ถึงปัจจุบัน”

นอกจากนี้คุณออโต้ยังแอบกระซิบกับเราถึงอีกเคล็ดลับที่ทำให้ P.MITH ตีตลาดเอเชียได้ประสบความสำเร็จอย่างน่าตกใจด้วยว่า ‘อีกปัจจัยหนึ่งคือเราเลือกที่จะโฟกัสในเรื่องของ sizing และแพทเทิร์นที่เป็นแบบ Asian Fit เพราะอย่างเวลาเราไปซื้อเสื้อผ้าในแบรนด์อย่าง Zara หรือ H&M เนี่ย มันสวยนะดูแฟชั่นดี แต่แพทเทิร์นจากแบรนด์เหล่านี้คือไซส์ชาวยุโรป มันจะไม่ได้พอดีกับชาวเอเชียมากนัก รวมไปถึงการตัดเย็บที่แบบ mass production ทำให้บางครั้งการทำ finishing ออกไม่เรียบร้อยเท่าที่ควร หลายคนอาจมองเป็นเรื่องเล็ก แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเสื้อผ้าผู้ชาย อาจด้วยเหตุนี้ละมั้งที่ทำให้ลูกค้าในแถบเอเชียชื่นชอบเสื้อผ้าของ P.MITH

“มันไม่มี one size fits all ในเรื่องของความงาม”

คุณแบงค์กล่าวเสริมกับเราว่า ‘ส่วน Mediwelle เนี่ยเราเลือกที่ชูจุดเด่นในเรื่องของความงามแบบ integrative ดังนั้นโปรแกรมอย่างการฉีดฟิลเลอร์ ร้อยไหม หรือสเตียรอยด์ จะไม่มีอยู่ที่ Mediwelle เพราะทั้งผมและพาร์ทเนอร์ทุกคนต่างเห็นตรงกันว่า การมอบความสวยระยะสั้นให้แก่ลูกค้าไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องการ และผมมองว่าจริงๆ แล้วทุกคนมีความงามในแบบของตน ด้วยเหตุนี้ Mediwelle เลยเลือกที่จะให้บริการแบบ appointment only เท่านั้น เราอยากที่จะพูดคุยกับพวกเขาให้ได้มากที่สุด อยากรู้ว่าลูกค้าเราเป็นคนอย่างไร ทั้งเรื่องมุมมองและไลฟ์สไตล์ และแน่นอน ‘ความงาม’ ในแบบของเขาคืออะไร เพื่อที่จะหาสิ่งที่ช่วยต่อยอดความงามในแบบของเขาให้ดีให้สวยยิ่งขึ้นไป’

แล้วการสื่อสารการโปรโมทยังจำเป็นอีกไหมเมื่อสินค้าของเราดี และแตกต่างจากคนอื่นในท้องตลาดแล้ว?
“ผมเชื่อว่าไม่ว่าสินค้าหรือบริการของเราจะดีมากแค่ไหน หากผู้บริโภคไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน มันก็ไม่มีประโยชน์”

‘จำเป็นมากถึงมากที่สุด’ ทั้งสองผู้ก่อตั้งบอกกับเราอย่างรวดเร็ว ‘แต่ในขณะเดียวกันการเอาแต่โปรโมทโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เองก็ไม่ดี เพราะมันผิวเผินและลูกค้าที่มาเขาก็จะมาเพียงครั้งเดียวแล้วจบไป ดังนั้นผมเชื่อว่าทั้งสองสิ่งต้องไปด้วยนะ’ คุณออโต้บอกกับเราในฐานะผู้คุมบังเหียนด้านการบริหารและการตลาดของทั้งสองแบรนด์   ซึ่งคุณแบงค์เองก็เห็นด้วยในเรื่องนี้ ‘เพราะงั้นก่อนที่เราจะปล่อยผลิตภัณฑ์อะไรออกไป เราจึงทดลองสิ่งนั้นๆ ก่อนทุกครั้ง และใช้เวลาค่อนข้างนานเหมือนกัน โดยเราไม่ได้ทดสอบเฉพาะแต่พวกเราที่เป็นคนในนะ แต่เราให้เพื่อน ให้คนรู้จัก หรือแม้แต่คนที่อยู่ในแวดวงของผลิตภัณฑ์ได้ช่วยออกความเห็นด้วย เพื่อที่จะได้รับมุมมองทั้ง inside และ outside ว่าของของเราดีจริงไหม เรายอมเสียเวลาในส่วนนี้ ดีกว่าที่จะส่งต่อของที่ไม่มีคุณภาพหรือมี error ให้ลูกค้าของเรา

การวาง Brand Position และการเข้าใจกลุ่มเป้าหมายจำเป็นแค่ไหน
“ด้วยความที่ธุรกิจของเรามันตั้งอยู่บนพื้นฐานของความงาม ทำให้การสร้าง first impression เป็นเรื่องที่สำคัญมาก”

คือต้องบอกว่าทั้งผมและแบงค์เข้าใจดีว่าคุณภาพของสินค้าคือปัจจัยหลักที่ทำให้ลูกค้าไว้ใจเรา แต่ในขณะเดียวกันเราเชื่อว่าการถ่ายทอดอัตลักษณ์ของแบรนด์และการวาง position ของแบรนด์ก็มีความสำคัญไม่ต่างกัน เพราะทั้งหมดมันคือ branding หากเราถ่ายทอดหรือสื่อสารออกมาได้ไม่ถูกจุด มันก็ยากที่ลูกค้าเขาจะเชื่อมั่นและไว้ใจเรา อันนี้คือยังไม่ต้องไปพูดกันถึงเรื่องของคุณภาพหรือวิธีการโปรโมทเลยนะ ดังนั้นแล้วผมจึงเชื่อว่าการทำ branding และสร้าง brand image ให้ถูกกลุ่มเป้าหมายจึงสำคัญมาก เพราะเราต้องไม่ลืมว่าทุกวันนี้คนเราตัดสินกันจากภาพแรกที่เห็นกันเสียส่วนใหญ่ เหมือนว่าถ้าเราติดกระดุมเม็ดแรกถูก เม็ดต่อไปขั้นตอนต่อไปมันก็จะถูกเอง และพวกเรามองว่าการทำ branding เนี่ยแหละคือกระดุมเม็ดแรกสุดที่จะต้องติดให้ถูก

และเพราะสาเหตุนี้เลยทำให้พวกเราคิดว่าเราโชคดีที่ได้บอน (สารัช จันทวิบูลย์) และ โอ (พีรกันต์ สมบัติเลิศตระกูล) จาก DINSOR มาเป็นพาร์ทเนอร์ให้กับเราในด้านนี้ แน่นอนว่ามุมมองที่เรามีต่อธุรกิจด้านนี้นั้นตรงกัน แต่เราถนัดด้านการทำหัตถกรรม ด้านการคิดโปรดักส์ต่างๆ ในขณะที่ทาง DINSOR มีความเชี่ยวชาญด้าน branding และ marketing communication ในเชิงกราฟิกซึ่งเป็นสิ่งที่เราขาดไป มันเลยกลายเป็นเหมือนตัวต่อที่เข้าล็อคกันแบบพอดิบพอดี ก็นับเป็นความโชคดีของเรา คุณแบงค์ทิ้งท้ายกับเราก่อนที่จะขอพักการสัมภาษณ์ในครั้งนี้เพื่อไปตรวจดูตารางลูกค้าของเขาสักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกลับมาบอกเล่ากับเราถึงประสบการณ์ที่ทั้งคู่ได้รับจากการร่วมงานกับ DINSOR

ติดตามผลงาน Branding & Marketing Communication ของ DINSOR ได้ที่นี่