เรียนรู้แนวคิด DINSOR กราฟิกสตูดิโอเล็ก ๆ ที่ออกแบบงานให้แบรนด์ใหญ่

ถ้าใครเคยเห็นร้านอาหารสีฟ้า, ศูนย์อาหาร LOFTER ที่เซ็นทรัล ชิดลม, แอปพลิเคชัน Kept, เชนร้านกาแฟ D’Oro, โรงแรม Homm จากเครือ Banyan Tree, ร้านโดนัทที่กำลังมาแรงอย่าง Drop by Dough, ไปจนถึง ภาพโปรโมตหลาย ๆ โปรเจกต์ของ Land & Houses และ Gaysorn Village

ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานจาก DINSOR (ดินสอ) บริษัทกราฟิกดีไซน์ ที่มีฝีมือไม่ธรรมดาและไม่เพียงแค่จะมีชื่อเสียงในไทยเท่านั้น แต่ลูกค้ากว่าครึ่งหนึ่งของ DINSOR ยังเป็นชาวต่างชาติ ที่ติดต่อเข้ามาเองอีกด้วย

อะไรที่ทำให้กราฟิกสตูดิโอแห่งนี้มีแต่คนอยากจะเข้าหาอยู่ตลอด ?
แล้ว DINSOR มีวิธีคิดการทำงานอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง

DINSOR ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ปัจจุบัน นำทีมโดย คุณบอน สารัช จันทวิบูลย์ และคุณโอ พีรกันต์ สมบัติเลิศตระกูล ซึ่งทั้งคู่เป็นผู้รับผิดชอบงานทุกชิ้นด้วยตัวเอง เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่า ต่อให้เป็นลูกค้า SME หรือบริษัทมหาชน ก็จะเป็นทีมงาน ทีมเดียวกันที่รับผิดชอบ ทำให้งานที่ออกไปมีคุณภาพ และมาตรฐานที่สม่ำเสมอ 

โดย DINSOR จะมีรูปแบบการให้บริการด้านกราฟิกต่าง ๆ อย่างเช่น

ซึ่งความโดดเด่นของกราฟิกสตูดิโอแห่งนี้อยู่ตรงที่ DINSOR มีลูกค้าตั้งแต่ คาเฟ, ร้านขนมออนไลน์, เชนร้านอาหาร, แอปพลิเคชันการเงินไปจนถึง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดของบริษัท โดยเราจะเห็นได้ว่า ลูกค้าของ DINSOR นั้นค่อนข้างมีความหลากหลาย เนื่องจาก DINSOR จะเป็นสตูดิโอที่ไม่ได้ยึดติดว่า ตัวเองมีสไตล์งานแบบไหน แล้วใส่ความเป็นตัวเองลงในงานของลูกค้า หรือรับเฉพาะงานที่เป็นสไตล์ของตัวเองเท่านั้น แต่จะนำเอาจุดประสงค์ของสิ่งที่ลูกค้าต้องการ “สื่อสาร” เป็นที่ตั้ง และนำมาออกแบบให้มีความเป็นลูกค้ามากที่สุด และแม้ว่ากลุ่มลูกค้าของ DINSOR จะกว้างมากแต่ทาง DINSOR ก็จะมีหลักคิดในการทำงานให้ลูกค้าคล้าย ๆ กัน ซึ่งก็คือ

ดูโจทย์ว่า สินค้า และเป้าหมายที่ตั้งไว้ คืออะไร รวมไปถึง ศึกษาว่าลูกค้ามีจุดยืนประมาณไหน เพื่อให้เข้าใจความต้องการของลูกค้า และเห็นภาพไปในทิศทางเดียวกับลูกค้า หลังจากรับฟังลูกค้าแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ตรงดิ่งไปออกแบบงานให้ลูกค้าทันที แต่พวกเขาจะช่วยให้คำแนะนำเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการออกแบบโดยตรง อย่างเช่น การชิมขนมของลูกค้า หรือออกความเห็นเรื่องดีไซน์ของสินค้า และถ้าพวกเขารู้สึกว่าสินค้ายังขาดอะไรไป หรือควรปรับปรุงตรงไหน ก็จะบอกลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับช่วยเสนอทางแก้ให้ลูกค้า เปรียบเสมือนกับเป็นที่ปรึกษาคนหนึ่งให้กับลูกค้า

ซึ่งการทำเช่นนี้ ก็เพื่อผลประโยชน์ของลูกค้าเอง เพราะถ้าพวกเขารู้สึกว่าสินค้าสามารถพัฒนาหรือเพิ่ม value อะไรได้ ทางทีมก็ยินดีให้คำแนะนำเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็ก หรืองานใหญ่ก็ตามและที่สำคัญ งานทุกอย่างจะเดินไปได้ ก็ต้องอาศัยส่วนประกอบอื่น ๆ ร่วมด้วย ไม่ใช่แค่เพียงงานออกแบบให้ดีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ทุกรายละเอียดต้องส่งเสริมกัน แบรนด์ของลูกค้าถึงจะเติบโตได้ยั่งยืน แม้ว่าการคอมเมนต์ผลิตภัณฑ์ของลูกค้าตรง ๆ อาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจได้ แต่เรื่องนี้กลับเป็นจุดที่ทำให้ลูกค้าของ DINSOR ยิ่งถูกใจบริการของที่นี่ จนกลับมาใช้บริการซ้ำ ๆ หลังจากที่ตกลงเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ กับลูกค้าได้เรียบร้อย ก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการออกแบบของฝั่ง DINSOR ซึ่งก่อนที่พวกเขาจะส่งมอบงานให้ลูกค้า พวกเขาจะมีคอมเมนต์ผลงานที่ออกแบบมาด้วยการ มองผลงานตัวเอง “ในมุมคนอื่น”

โดยเริ่มจาก มุมของลูกค้า ว่าสิ่งที่ออกแบบมาตรงกับที่ลูกค้าต้องการสื่อสารหรือไม่ และลูกค้ายังคาดหวังอะไรจากในงานนี้อีกนอกจากนี้ พวกเขายังมองไปถึง มุมลูกค้าของลูกค้าอีกที โดยจินตนาการว่า คนกลุ่มนี้เขาต้องการจะเห็นอะไรจากงานที่เราออกแบบ และเขาจะรู้สึกอย่างไรต่องานชิ้นนี้ เพราะถึงแม้ว่า แบรนด์จะเป็นคนจ้าง DINSOR ให้ออกแบบชิ้นงานนั้น แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ปลายทางจริง ๆ ของผลงานจะไปปรากฏในสายตาใคร และคนสุดท้ายที่จะเป็นคนตัดสินว่างานจะเกิดผลจริง ๆ หรือไม่ ก็คือ ลูกค้าของลูกค้า นั่นเอง..

Credit : ลงทุนเกิร์ล